บทความผอมสวยด้วย ผักและผลไม้




            เหตุใดสาวยุคใหม่จึงคลั่งน้ำผัก-ผลไม้กันมาก ทั้งๆที่มีเครื่องดื่มมากมายให้เลือกสรรทั้งน้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ประเภทต่างๆ หรือแม้แต่น้ำหวานหลากสีสัน.... แน่นอนว่าเครื่องดื่มที่กล่าวมาทั้งหมดนี้นอกจากไม่ค่อยมีคุณค่าแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยสารพิษนานาจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าน้ำผัก- ผลไม้ พร้อมดื่มจึงเป็นที่นิยมมาก
            แต่สาวๆที่ฉลาดจะรู้ว่าพวกเธอสามารถทำน้ำผัก- ผลไม้ดื่มเองได้ เพียงแค่ได้สูตรแสนอร่อยมากประโยชน์ ทำง่าย และสุดแสนประหยัด พวกเธอก็จะได้เครื่องดื่มเพิ่มพลัง คืนความสดใสเหมาะกับช่วงควบคุมน้ำหนักช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส และยังปราศจากสารพิษต่างๆ ที่มีในเครื่องดื่มจากโรงงงานอุตสาหกรรมด้วย
            เลิกทำร้ายตัวเองด้วยการปล่อยปละละเลยสุขภาพ หันมาทำน้ำผัก-ผลไม้ดื่มเอง  แล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตเปลี่ยนไปเร็วๆทั้งความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และสารอาหารดีๆ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ทุกวันของคุณมีความหมายมากหมาย มากขึ้น

            ผักและผลไม้เมืองไทยมีหลากหลาย พืชผักผลไม้หลายชนิดที่มีให้ทานตลอดฤดูกาล เช่น กล้วย ขนุน มะพร้าว ฝรั่ง ส้มโอ ส้มเขียวหวาน ทับทิม มะละกอ และผักสวนครัว ผักริมรั้ว ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ระบบต่างๆทำงานได้ตามปกติ เสริมสร้างบำรุงร่างกายทุกส่วนให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคหลายโรคและมีสรรพคุณทางยานำมารักษาโรคเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่น อาการหวัด คัดจมูก เจ็บคอ ท้องเสีย ท้องผูก ท้องเฟ้อ ลดไข้มันในเส้นเลือด  ลดน้ำตาลในเลือด  เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งปัจจุบันมีการส่งให้บริโภคผักผลไม้  ดื่มน้ำผัก ผลไม้  การใช้ผักผลไม้เป็นยาสมุนไพร ทำเครื่องสำอางจากสมุนไพรผักผลไม้กันมากขึ้นในทุกท้องถิ่น


           อย่างไรก็ตามจากการสำรวจ คนไทยดื่มน้ำผักผลไม้กันน้อยมาก แม้ว่าปัจจุบันจะมีน้ำผักผลไม้พร้อมดื่มขายในท้องตลาดมากกว่าแต่ก่อนในรูปแบบหลากหลาย เช่น คั้นสด ปั่นสด หรือบรรจุในกระป๋อง ในกล่องกระดาษ แต่ก็ยังไม่เหมือนน้ำอัดลมที่ขายดิบขายดีด้วยความสะดวกซื้อได้ทุกที่ และอยู่คงทนได้ไม่เน่าเสีย  เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่ทราบถึงคุณประโยชน์ของน้ำผักผลไม้และทราบถึงพิษภัยของน้ำอัดลมที่ปราศจากวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็น หากเปลี่ยนความคิดจากรสชาติและความสะดวกของน้ำอัดลม  แล้วมีเป้าหมายว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอายุยืน ไม่ให้โรคภัยมาเบียดเบียน วิธีหนึ่งคือการดื่มน้ำผักผลไม้รสอร่อยอันอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการ  โดยเฉพาะวิตามินและเกลือแร่ ควรทำดื่มเองที่บ้านทั้งครอบครัว  ปลูกฝังเด็กให้ชอบดื่มน้ำผักผลไม้ เพราะเด็กสมัยนี้โตขึ้นมากับน้ำอัดลมที่มีหลากหลายยี่ห่อ หลายรส ขนมกรุบกรอบที่เค็ม กับผงชูรส ขนมสีจัดจ้านซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ  แล้วมีโอกาสที่จะได้รับวิตามินและเกลือแร่ไม่เพียงพอ นอกจากนั้นการทำดื่มเองที่บ้านยังปลอดภัยจากสารปนเปื้อน และประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย

        การทำน้ำผักผลไม้ ด้วยวิธีการง่ายๆ พืชผักที่หาได้ง่ายจากข้างรั้วบ้านหรือในสวนครัว จะดีที่สุด เพราะปลอดสารพิษ ยาฆ่าแมลง ถ้าซื้อในตลาดและซุปเปอร์มาร์เกต  ก็จะมีผักริมรั้วหรือขึ้นเองตามธรรมชาติที่ไม่โดนย่าฆ่าแมลง อย่างเช่น ตำลึง มะขามป้อม มะดัน กล้วย มะเขือเทศ ฟักทอง กระเพรา กระชาย ข่า ขิง ใบเตย ฟ้าทะลายโจร มะตูม มะไฟ มะพร้าว มันแกว ยอ ลูกตาล ลูกหว้า เป็นต้น ส่วนพืชผักที่มียาฆ่าแมลงเพราะนอนชอบไปกัดกิน ได้แก่ ชมพู่ พุทรา องุ่น คะน้า ผักกาดเขียว ดอกกะหล่ำ กวางตุ้ง

         สำหรับผู้มีโรคประจำตัวก็สามารถเลือกดื่มน้ำพืชผักที่มาช่วยรักษาอาการป่วย มาเสริมแร่ธาตุวิตามินที่ร่างกายขาดหายไป อย่างเช่นผู้ที่เป็นโรคไขมันในหลอดเลือดสูงควรเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่ลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เช่น กระเจี๊ยบแดง บัวบก ขึ้นฉ่าย เป็นต้น

         ดังนั้นหากเรารู้ถึงข้อดี ประโยชน์ที่ได้จากผักผลไม้แต่ละชนิดรู้ว่าบางชนิดไม่เหมาะกับร่างกายในตอนนั้น คำนึงถึงว่าในแต่ละวันควรได้รับสารอะไรจากผักผลไม้ชนิดใดบ้างจึงจะเพียงพอ และโทษของการทานมากเกินความต้องการโดยเฉพาะในเรื่องของน้ำตาลและเกลือ รู้ถึงข้อควรปฏิบัติในการทำน้ำผักผลไม้ให้เหมาะสมกับตนและครอบครัว ลองทำน้ำผักผลไม้ที่ไม่เคยดื่มมาก่อน  จะได้พบกับเครื่องดื่มรสชาติแปลกใหม่ที่มีอยู่ใกล้ตัวมากมาย เชื่อว่าการดื่มน้ำผักผลไม้อย่างถูกหลักทุกวันจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แข็งแรงขึ้น และสุขภาพดีไปอีกนาน จนไม่อยากจะนึกหาน้ำอัดลมอีกเลย  
       

          ร่างกายกับความต้องการอาหาร
          ความต้องการสารออหารของคนเราในแต่ละวัยแต่ละภาวะ จะมีความแตกต่างกันออกไป จึงมีข้อแนะนำสำหรับการทานอาหารในแต่ละวัย เช่น อาหารสำหรับทารก อาหารสำหรับหญิงมีครรภ์ อาหารสำหรับวัยรุ่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องของพลังงานที่ต้องการใช้ และสารอาหารบางตัวที่จำเป็นมากขึ้นในบางภาวะหรือบางวัยในที่นี้จะเลือกเอาความต้องการอาหารในวัยผู้ใหญ่มาเป็นเทียบเคียงว่าในวันหนึ่งเราควรจะบริโภคน้ำผักผลไม้เท่าไหร่จึงจะเพียงพอและไม่เกิดโทษ
   วัยผู้ใหญ่ต้องการสารอาหารมากพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ต้องการสารอาหารต่างๆอย่างครบถ้วนเพื่อเสริมสร้างเซลล์ต่างๆของร่างกายให้ทำงานตามปกติ การขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความบกพร่องต่อการทำงานของร่างกาย ทำให้แสดงความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีอาการหลายอย่างด้วยกัน โดยแต่ละวันแล้วควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นั่นคือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ ให้ได้สัดส่วน จะทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่มีปัญหาอ้วนหรือผอม ควรหลีกเหลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น ไขมัน น้ำตาล ซึ่งมักเลี่ยงยากเสียด้วย อย่างเช่น น้ำตาลซึ่งอยู่ในทั้งของหวานของคาว ผลไม้และน้ำผลไม้  เครื่องดื่มต่างๆ จึงควรระวังพิเศษต่อร่างกาย องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่าไม่ควรทานน้ำตาลมากเกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน และทานเกลือเกินสามช้อนชา หรือ 6 กรัมต่อวัน

   1. พลังงาน  ผู้ใหญ่แต่ละคนมีความต้องการพลังงานตามโครงสร้างร่างกายและน้ำหนัก การใช้พลังงานโดยทั่วไปจะต้องวันละ 20 แคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่สำหรับคนใช้แรงงานจะต้องการพลังงาน 40 แคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หากต้องการทราบก็ลองเอาน้ำหนักมาคำนวณดูก็จะทราบพลังงานที่ตัวคุณต้องการ พลังงานควรได้มาจากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ตามด้วยโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ ทานไขมันให้น้อยที่สุด ไขมันไม่อิ่มตัวเป็นชนิดที่ร่างกายต้องการเพื่อช่วยสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อ มีมากในปลา เลชิทินเม็ด จากกการบริโภคของคนไทยพบว่าส่วนใหญ่มักจะทานไขมันมากเกินไป มาจากการทานแป้งมากเกินไปด้วย

   2.  โปรตีน  มีหน้าที่เสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของร่างกายเท่านั้น ไม่ได้เอาไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต ส่วนที่สึกหรอ ได้แก่ เสันผม เล็บ ผิวหนัง กระดูก ฟัน เส้นเลือด นอกจากนี้ยังมีโปรตีนในเม็ดเลือดแดง โปรตีนเอนไซม์ในการย่อยอาหาร สิ่งเหล่านี้ได้ทยอยตายไปและมีส่วนที่เซลล์สร้างมาใหม่ทดแทน ผู้ใหญ่ควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ควรเป็นโปรตีนจากพืช ธัญพืช มากกว่าโปรตีนจากสัตว์ถ้าเราบริโภคโปรตีนมากเกินไปจะมียูเรียในปัสสาวะมาก ไตทำงานหนัก คนที่เป็นโรคไตจึงห้ามทานโปรตีนมาก

   3. วิตามินและเกลือแร่ เป็นสิ่งจำเป็นมาก ถ้าได้ไม่ครบทุกชนิดหรือได้ในปริมาณไม่เพียงพอก็จะทำให้ร่างกายมีการทำงานผิดปกติไป วิตามินและเกลือแร่ทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอโดยมักต้องทำงานร่วมกันอาศัยซึ่งกันและกัน เกลือแร่ในร่างกายมี 28 ชนิด แต่ที่ร่างกายขาดไม่ได้เลยมี 18 ชนิด ในคนแต่ละวัย วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยสูงอายุ หญิงตั้งครรภ์  ผู้ป่วยจะมีความต้องการวิตามินแร่ธาตูบางตัวที่มากกว่าหรือน้อยกว่าไปบ้างตามความต้องการใช้ของร่างกายในสภาวะนั้นๆ อย่างเช่นหญิงตั้งครรภ์ต้องการแคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี วิตามินซี มากเป็นพิเศษเพื่อนำไปใช้สร้างกระดูก ฟัน หรือในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเหลือก็มีสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดแมกนีเซียมและซิลิเมียม และมีอีกหลายโรคที่มีสาเหตุการขาดวิตามินหรือเกลือแร่

   4.  น้ำ จำเป็นต่อร่ายกายในการหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ การจับกันของของเสียเพื่อขับทางปัสสาวะ ดื่มน้ำอย่างน้อยวัยละ 1 ลิตร หากดื่มน้อยไปโอกาสที่ของเสียตกตะกอนในไต เกิดโรคนิ่วสะสมในไตและตามข้อต่างๆสำหรับผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำผักผลไม้ ต้องระวังระดับน้ำตาลมากเกินความต้องการจากเครื่องดื่มเหล่านนนั้นด้วย อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเบาหวาน

   5. เส้นใยอาหาร  มีอยู่ในพืชผักผลไม้เท่านั้น ไม่มีอยู่ในเนื้อสัตว์เลย เส้นใยอาหารจะมีแคลอรีต่ำ ช่วยป้องกันม้องผูกโดยทำให้อุจจาระนิ่ม ถ่ายคล่อง ลดปริมาณคอแลสเตอรอล ป้องกันการดูดซึมน้ำตาลสู่ร่างกายดุดซึมสารก่อมะเร็งในทางเดินลำไส้ เส้นใยอาหารมีมากในธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ในผักผลไม้โดยส่วนใหญ่มีมากในกระเพรา คะน้า ผลฝรั่ง ข้าวโพด แครอท  ถั่วเหลือง มะขาม เป็นต้น แต่ผลไม้บางชนิดก็ไม่มีเส้นใยอาหารอยู่เลย เช่น เนื้อลูกตาลอ่อน เนื้อมะพร้าว แตงไทย


คุณประโยชน์ของผักผลไม้ต่อร่างกาย
   ในยุคสมัยนั้นผู้คนสนใจดูแลสุขภาพมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด กิจการด้านสุขภาพไม่ว่าจะเป็นอาหาร การออกกกำลังกาย พืชสมุนไพร มีการปรับปรุงมาทำเป็นสิ่งที่สะดวกขาย สบายซื้อ ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย หรือการกินอยู่อย่างไทยที่ค้นพบส่วนดีของธรรมชาติมานนมนานแล้ว ได้ถูกนำมารื้อฟื้นให้ความสนใจร่วมกับคุณสมบัติที่ได้ทราบจากวิทยาการสมัยใหม่ จึงกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเพื่อส่งเสริมรักษาบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงสดชื่น หลีกเลี่ยงสารพิษ และป้องกันการเกิดโรคต่างๆ อันเกิดจากอาหาร รวมทั้งบำรุงชีวิตให้ยืนยาว
   ในขณะที่ผักพื้นบ้านที่อุดมไปด้วยเอนไซม์ แร่ธาตุ วิตามินเอ บี อี ซี และเส้นใยอาหาร ผลไม้ไทยที่อร่อยหอมหวาน มีคุณภาพไม่ด้อยไปกว่ากันขึ้นอยู่กับความต้องการผลไม้ ซึ่งทั้งผัก ผลไม้ และพืชสมุนต่างก็ได้รับความนิยม นำเอามาใช้ทั้งในรูปแบบน้ำผลไม้ อาหารความและหวานทำเป็นยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาพืชผักผลไม้ มาใช้ในรูปแบบของเครื่องดื่มสมุนไพรนั้นเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่สามารถทำด้วยตนเองง่ายๆ
   คุณประโยชน์ของพืชผักดังกล่าวมีมากมายหลายด้าน หากสามารถเลือกทานให้เหมาะกับสภาพร่างกายแล้ว เชื่อว่าถ้าได้ออกกกำลังกายและนอน
หลับอย่างเพียงพอด้วยจะทำให้สุขภาพดีถึงร้อยปีเลยทีเดียว คุณค่าน้ำผักผลไม้ อาทิเช่น ลดคอเลสเตอรอล บำรุงผิว บรรเทาหวัด คัดจมูก แก้ไอ แก้ท้องเสีย แก้ท้องผูก แก้อักเสบ บำรุงตับ ไต จะมีประโยชน์มากขึ้นเมื่อเลือกให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายในเวลานั้น ดังนั้นจึงสามารถนำเอาน้ำผักผลไม้มาทำการักษาผู้ป่วยได้ด้วยตนเองและครอบครัวซึ่งมีมากมายดังนี้

   ผักผลไม้บำรุงกระดูกฟัน
   เนื่องจากเซลล์ของกระดูกมีความต้องการในแคลเซียมในแต่ละวันอย่างพอเพียง ที่จะช่วยสร้างกระดูกในวัยเด็กและเพิ่มความแน่นของกระดูกในวัยผู้ใหญ่และวัยชรา ดังนั้นทุกคนจึงควรทานอาหารที่มีแคลเซียมอย่างพอเพียง ในผู้ใหญ่เฉลี่ยประมาณวันละ 800-1,000 มิลลิกรัม หญิงมีครรภ์ต้องการมากขึ้น แคลเซียมมีมากในน้ำนม ปลาป่น กุ้งแห้ง และผักใบเขียวที่มีปริมานแคลเซียมสูง ได้แก่ มะขาม ใบบัวบก เตยหอม แตงไทย ยอ ใบชะพลู มะดัน กะเพรา คะน้า ถั่วเหลือง และขึ้นฉ่าย เป็นต้น การที่ร่างกายจะดึงแคลเซียมไปใช้ได้เป็นจำเป็นต้องมีวิตามินดีซึ่งได้รับจากแสงแดดอ่อนๆวันละ 10 นาที ก็เพียงพอต่อร่างกาย

 ผักผลไม้บำรุงสายตา
วิตามินเอมีผลต่อการทำงานของสายตา ทำให้ตาทำได้ดี และมีการมองเห็นชัดเจน หากขาดวิตามินเอจะทำให้เกิดโรคตามัว ตาฝ้าฟาง เคืองตา ซึ่งป้องกันด้วยการทานพืชผักผลไม้ต่างๆ ที่มีวิตามินเออย่างพอเพียงในแต่ละวันซึ่งมีมากในผักผลไม้ ได้แก่ ใบบัวบก สะระแน่ คะน้า ยอดแค ใบกะเพรา ใบขี้เหล็ก แครอท ฟักทอง ตำลึง มะละกอสุก เป็นต้น ปกติผู้ใหญ่ต้องการวิตามินเอวันละ 4,000-5,000 I.U. ดังนั้น การดื่มน้ำใบบัวบกที่ใช้ใบบัวบก 50 กรัม จะได้รับวิตามินเอ 5,481 I.U. ซึ่งงยังไม่รวมวิตามินเอทั้งได้จากแหล่งอาหารอื่น พืชอื่น นมหรือเนื้อสัตว์ การได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะมีการสะสมและเกิดโรคร้ายต่อร่างกาย แต่ไม่ค่อยมีคนเป็นเพราะนั้นหมายถึงการได้รับถึงวันละ 50,000 I.U. ซึ่งร่างกายไม่สามารถกำจัดออกไปได้หมด และเมื่อหยุดทานวิตามินเอ อาการพิษจากวิตามินเอมากก็จะค่อยๆหายไป นอกจากนั้นเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอก็ช่วยบำรุงสายตาด้วยเช่นกัน แหล่งของเบต้าแคโรทีน ได้แก่ ยอดแค ยอดฟักข้าว ใยเตยหอม ผักตังโอ๋ เป็นต้น

 ผักผลไม้ที่ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน
   คนที่ร่างกายอ่อนแอ มีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก คนที่มีโรคประจำตัว คนที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้มีปัญเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่ำ หรือคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เอดส์ มะเร็ง ฯลฯ มีพืชผักและผลไม้หลายชนิดที่มีคุณสมบัติเพิ่มภูมิต้านทานโรคในคนธรรมดาเป็นส่วนป้องกันมิให้ร่างกายอ่อนแอลง จึงควรทานพืชผักที่มีคุณสมบัติบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น อาทิเช่น กระเทียม เห็ดลินจือ โสม เห็ดหอม ถั่วเหลือง บัวบก ใบกะเพรา รากบัว ธัญพืช
   

ผักผลไม้ช่วยเจริญอาหาร
  พืชผักที่ทำให้เจริญอาหารหรือทานอาหารมากขึ้นนั้น มักเป็นสมุนไพรที่มีรสขม ซึ่งเรียกกันว่า bitter tonic และพืชผักที่มีรสเผ็ดร้อนจากน้ำมันหอมระเหย ซึ่งช่วยกันกระตุ้นให้น้ำลายและน้ำย่อยอาหารออกมาย่อยอาหารมากขึ้น ความขมช่วยเพิ่มการดูดซึมของอาหารด้วย ทำให้มีความแข็งแรงมากขึ้นหลังทานอาหาร นอกจากนี้กลิ่นหอมของพืชผักนั้นยังทำให้เกิดอารมณ์ความอยากที่จะทาน อาทิเช่น มะระขี้นก ขี้เหล็ก บอระเพ็ด สะเดา กระชาย ตะไคร้ โหระพา ขิง ข่า สะระแหน่ พริก เป็นต้น

ผักผลไม้ที่ช่วยให้นอนหลับ
  การได้รับวิตามินบีอย่างเพียงพอเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น รู้สึกคลายเครียด โดยที่ออกฤทธิ์ช่วยระงับประสาทและช่วยให้นอนหลับ พืชผักที่มีวิตามินบีสูง ได้แก่ ผักใบสีเขียว เช่น คะน้า มะระขี้นก ใบยอ ธัญพืชต่างๆ ใบขี้เหล็ก แคนตาลูป แอปเปิล เก๊กฮวย ลำไย มันแกว ลิ้นจี่ ถั่วเหลือง ข้าวโพด มะตูม และยังมีรายงานการวิจัยในสัตว์ทดลองว่าสารสกัดจากรากบัวและสารสกัดจากใบมะรุมออกฤทธิ์เสริมยานอนหลับบาร์บิทูเรทได้ ข้อควรระวังคือทานตะไคร้มากจะทำให้นอนไม่หลับ


ข้อควรคำนึงในการทำน้ำผักผลไม้

 การเลือกพืชผัก ผลไม้
  ผักผลไม้สด เลือกดูที่ใบหรือดอกหรือผลที่จะนำมาใช้ว่ามีความสดใหม่ เต่งตึง มีลักษณะสีสันเป็นธรรมชาติ ลีไม่ซีดหรือแปลกไปจากของใหม่สด ไม่มีรอยซ้ำเน่าเสีย ไม่เหี่ยวย่น เฉาแห้ง ถ้ามีรอยแมลงกัดกินบ้างก็จะช่วยให้รู้ว่าแมลงกินได้ก็คงจะไม่มียาฆ่าแมลงมากนัก ถ้าเก็บเกี่ยวเองจากลำต้นให้เลือกมาจากลำต้นที่กำลังเจริญเติบโตดี จะมีคุณค่ามากกว่าเก็บจากต้นที่เหี่ยวเฉาหรือใกล้จะตาย และมีคุณค่ามากกว่าผักผลไม้ที่เก็บมานานหลายวัน


การใช้อุปกรณ์ภาชนะทำน้ำผักผลไม้
  ภาชนะที่ใช้ในการทำต้องไม่ทำปฏิกิริยากับสารที่มีในผักผลไม้ ต้องสะอาด สำหรับผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะขาม สับปะรด มะเฟือง กระเจี๊ยบ ฯลฯ ควรใช้ภาชนะเคลือบ หม้อเคลือบในการต้ม เคี่ยว เนื่องจากกรดต่างๆ ที่มีอยู่ในเนื้อผลไม้ทำปฏิกิริยากับภาชนะอะลูมิเนียม ทองแดง หรือทองเหลือง ทำให้โลหะหนักจากภาชนะเหล่านั้นละลายปนออกมากับน้ำผักผลไม้นั้น มีดสำหรับหั่นหรือปอกก็เช่นเดียวกัน ไม่ควรใช้มีดเหล็กที่จะทำให้ผลไม้มีผิวสีดำเพราะทำปฏิกิริยากับสารแทนนินในผลไม้ ให้เลือกใช้แบบมีดสเตนเลสสามารถป้องกันปฏิกิริยาได้ การใช้ภาชนะไม่เหมาะยังทำให้รสชาติ สีสันของเครื่องดื่มเปลี่ยนได้ เขียงที่ใช้หั่นหรือสับต้องสะอาดไม่มีซอกหรือรอยแตกที่มีเศษสิ่งสกปรกซุกให้เกิดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และมีกลิ่นเหม็น ผ้าขาวบางที่ใช้กรอกไม่ควรมีเชื้อหรา ควรซักล้างให้สะอาดหลังการใช้งานทันที
   ภาชนะที่ใช้บรรจุหลังปรุงเสร็จ ถ้าทำทานเองในครอบครัว ควรเป็นภาชนะแก้วที่ไม่เกิดโทษ ทนความร้อนจากเครื่องดื่มหลังการต้ม และเก็บไว้ได้นานเพราะมีการแลกเปลี่ยนก๊าซกับอากาศภายนอน้อย ทั้งนี้ขวดแก้วนั้นต้องต้มหรือนึ่งฆ่าเชื้อก่อนไม่น้อยกว่า 30 นาที แบ่งแล้วปิดฝาเกลียวไว้ให้สนิท ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจึงเก็บเข้าตู้เย็น ถ้าจะเก็บขวดพลาสติกต้องรอให้น้ำเย็นลงเสียก่อน จากงานวิจัยบอกว่ามักมีสารอันตรายในพลาสติกละลายออกมาในปริมาณหนึ่งโดยที่ขวดยังทรงรูปร่างปกติ สารนั้นเมื่อได้รับมากขึ้นจะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งสูง จึงควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้ภาชนะพลาสติก
  เครื่องปั่นผลไม้มีหลายแบบมีทั้งแบบไม่แยกกาก ความเร็วคงที่หรือปรับความเร็วได้ มีเครื่องที่สามารถคั่นแยกกากาออกไปในตัวแน่นอนว่ามีราคาแพงขึ้นตามคุณสมบัติ การใช้เครื่องปั่นเหล้านี้มักจะมีคู่มือการใช้งานติดมากับเครื่อง ระวังเรื่องระยะเวลาในการปันไม่ให้นานมากเกินไป จะทำให้มอเตอร์ไหม้ได้ ปกติแล้วควรปั่นราว 30 วินาทีแล้วก็หยุดพักสักครู่หนึ่งจึงปั่นอีกครั้ง ทำซ้ำๆ จนกว่าจะละเอียดดี ระวังให้มีดหมุนได้ตามปกติ อย่าให้ติดขัดซึ่งอาจจะเป็นเพราะผักนั้นชิ้นใหญ่และแข็งเกินไป หรือน้ำน้อยเกินไปจึงปั่นยาก และอีกข้อหนึ่งต้องระวังเรื่องไฟรั่ว ไฟดูด ดุแลอย่าให้เครื่องชำรุด


 การล้างผักและผลไม้เพื่อให้ปลอดสารพิษ
1.             ล้างด้วยน้ำโซดาไฟเจือจาง โดยเตรียมผงโวดาไฟ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักผลไม้ให้ท่วมนาน 15 นาที หรือใช้น้ำยาสำหรับล้างผักโดยเฉพาะแทนโซดาไฟ แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าหลายๆครั้ง ลดปริมาณสารพิษได้ 90% แต่วิตามินเออาจจะสูญเสียไปบ้าง
2.             แช่ผัก ผลไม้ ให้ท่วมด้วยน้ำคลอรีน ใช้ผงปูนคลอรีนครึ่งช้อนชาละลายในน้ำ 20 ลิตร แช่ไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าหลายๆครั้งจะฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้ด้วย เป็นวิธีที่ดีมาก ลดปริมาณสารพิษได้ดีด้วย
3.             การใช้น้ำก๊อกไหลผ่านผักผลไม้ที่แกะเป็นใบ เช่น ผักกาด กะหล่ำปลี หรือว่างไว้ซ้อนทับกัน โดยใช้มือช่วยทำความสะอาดประมาณ 2 นาที  ลดปริมาณสารพิษได้ 54-63%
4.             การแช่ในน้ำสะอาด 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้เพียงร้อยละ 7-8 ซึ่งถ้าเป็นพวงองุ่นล้างแบบนี้จะได้รับยาฆ่าแมลงไปอย่างน่ากลัว
5.             ผลไม้มีเปลือกควรล้างเปลือกเสียก่อนที่จะปอกทาน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะติดไปตามรอยมีดเข้าไปใน เนื้อผลไม้ และมือที่หยิบไปในแต่ละครั้งจะพาเชื้อโรคและสารพิษต่างๆ ติดไปด้วย



การทำน้ำเชื่อมแบบเข้มข้นและแบบใส
 ข้อแนะนำการบริโภคน้ำตาลของคนไทย ควรได้รับไม่เกินวันล่ะ 2 ช้อนโต๊ะ ซึ่งคำนวณว่าน้ำผลไม้ที่จะดื่มนั้นมีปริมาณน้ำตาลใน 1 แก้วเป็นปริมาณเท่าไหร่ และนั้นไม่รวมน้ำตาลจากผลไม้ด้วย อย่างเช่น ทำน้ำแตงโม 1 แก้วจะใช้น้ำเชื่อมอย่างไส 1 ช้อนโต๊ะ จะมีน้ำตาลอยู่ 15 กรัม นั่นถ้าชอบน้ำผักผลไม้ต้องพยายามเลี่ยงน้ำตาลโดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาวที่ปราศจากวิตามิน เกลือแร่ ควรทำน้ำผักผลไม้ล้วนโดยเลือกจากผลไม้ที่มีรสหวานเช่น ส้ม องุ่น แตงโม มาเป็นส่วนผสมและเพิ่มน้ำมะนาวจะช่วยให้รสดีและดื่มง่ายขึ้น


1.              น้ำเชื่อมแบบเข้มข้น
  น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัมกับน้ำสะอาดครึ่งลิตร ตั้งไฟปานกลาง คนให้น้ำตาลละลายหมดพอเดือดแล้วก็ยกลงทิ้งไว้ให้เย็นจะได้น้ำเชื่อมประมาณ 1.5 มีลักษณะเหนี่ยวหนืด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาเศษสิ่งต่างๆออกไป เก็บไว้ในภาชนะมีฝาปิดมิดชิดกันมดและแมลง

2.              น้ำเชื่อมอย่างไส
น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัมละลายในน้ำสะอาด 1 ลิตร ตั้งไฟปานกลาง คนให้น้ำตาลละลายหมด พอเดือดแล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็น จะได้น้ำเชื่อมประมาณ 2 ลิตร กรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาเศษสกปรกออกไป เก็บน้ำเชื่อมๆไว้ในขวดสะอาดมีฝาปิดกันมดและแมลง


ภาชนะชั่งตวงเพื่อทำน้ำผลไม้
  เพื่อให้ได้น้ำผลไม้ ที่ทำขึ้นมาแต่ล่ะครั้ง มีรสชาติอร่อยเหมือนกันทุกครั้ง จึงจำเป็นต้องมีภาชนะสำหรับตวงใส่ส่วนผสมในอัตราส่วนเหมือนเดิมทุกครั้งที่มักใช้บ่อยคือ
 1ถ้วยตวง มีปริมาณเท่ากับ 250 ลิตร
 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณเท่ากับ 15 ลิตร
 1ช้อนชา มีปริมาณเท่ากับ 5 ลิตร




รายการน้ำผักผลไม้





กระเจี๊ยบแดง








ส่วนผสม 
ดอกกระเจี๊ยบแห้ง 1 ถ้วย
น้ำสะอาด              4 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง   1 ถ้วย
วิธีทำ
1.             ล้างดอกกระเจี๊ยบแห้งด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดแล้วพักไว้
2.             ใส่น้ำลงในหม้อเคลือบ ตั้งไฟพอเดือด ใส่กระเจี๊ยบต้มจนออกสีแดงและเนื้อกระเจี๊ยบนุ่มสีจาง เติมน้ำให้มีระดับเม่าเดิม จากนั้นกรองเอาแต่น้ำเจี๊ยบสีแดงสดนำขึ้นตั้งไฟต่อ
3.             ใส่น้ำตาล เคี่ยวไฟอ่อนจนน้ำตาลละลายหมด แล้วยกหม้อเคลือบลงทิ้งให้เย็น จะได้น้ำกระเจี๊ยบสีม่วงแดงรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมนาดื่ม เทใส่ขวดสะอาดที่ต้มในน้ำร้อนแล้ว 20 นาที แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานหลายวัน เวลาดื่มให้เติมน้ำแข็งทุบเพิ่มความเย็นสดชื่นได้อีก




น้ำกระชาย













ส่วนผสม
เหง้ากระชาย    1 ถ้วย
น้ำสะอาด         2 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง  ½ ถ้วย
วิธีทำ
  1 ล้างเหง้ากระชายด้วยน้ำเปล่าหลายครั้งให้สะอาด บุบให้แหลกใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เอากระชายใส่ลงไปต้มจนเดือดมีกลิ่นหอมหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป 10 นาที ให้สารที่มีคุณค่าในกระชายออกมา เติมน้ำให้ได้ระดับเท่าเดิม
2 กรองด้วยผ้าขาวบางเอากากออกไป เติมน้ำตาลทรายแดงและต้มให้เดือดอีก 3 นาทีแล้วยกลง จะดื่มแบบร้อนคล่องคอ ได้น้ำกระชายสีเหลืองอ่อน รสเผ็ดปร่า มีกลิ่นของกระชายและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็นก็น้ำแข็งก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า


กระท้อน






ส่วนผสม
เนื้อกระท้อน 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
น้ำเชื่ออย่างใส 2/3 ถ้วย
วิธีทำ
1.             เลือกกระท้อนห่อสุก จะมีเนื้อมากและมีรสหวานอมเปรี้ยว ปอกเปลือกออกหนาพอสมควรด้วยมีดสเตนเลส ล้างในน้ำมะนาวให้สะอาดและป้องกันไม่ให้กระท้อนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วสับเป็นชิ้นเล็ก  นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นจนเป็นเนื้อละเอียด ตักเอาเมล็ดออกไป ได้น้ำกระท้อนสีเนื้อนวล รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ดื่มได้ทันที รสหอมหวานอมเปรี้ยว ชุ่มคอและสดชื่นดีมาก
2.             ถ้าต้องน้ำกระท้อนปั่น ให้ใช้น้ำแข็งทุบ 1 ถ้วยกับน้ำต้มสุก 1 ถ้วย กระท้อนกับน้ำเชื่อมในอัตราส่วนเดิม ได้รสชาติหอมอร่อยเย็นสดชื่น แต่ไม่ควรทิ้งไว้นานเพราะน้ำกระท้อนจะมีสีน้ำตาลขึ้นเรื่อยๆทำให้รสชาติไม่ดี


น้ำกะเพรา







ส่วนผสม
ใบกะเพราตากแห้ง  3-4 ใบ
น้ำต้มเดือด     1 แก้ว
วิธีทำ
1 เด็ดใบกระเพราแล้วล้างให้สะอาด นำไปตากแดดให้แห้งดี จะเก็บไว้ได้นาน
2 ต้มน้ำในกาให้เดือด แล้วรินน้ำเดือดใส่แก้วที่มีใบกะเพราแห้ง ทิ้งไว้จนอุ่น ได้น้ำกะเพราสีเขียวอ่อนใส ดื่มน้ำนั้นเหมือนดื่มน้ำชาโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลให้อ้วน
3 อีกวิธีหนึ่งคือต้มกะเพราแห้งกับน้ำเดือด หรี่ไฟลง เคี่ยว 15 นาที เติมน้ำตาลทรายแดงพอมีรสหวาน รักษาระดับน้ำให้เท่าเดิม จะดื่มร้อนหรือใส่น้ำแข็งก็แล้วแต่ใจชอบ จะได้กลิ่นหอมของกะเพราและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง มีรสเผ็ดเล็กน้อย


น้ำเก๊กฮวย
















ส่วนผสม
ดอกเก๊กอวยแห้ง 2/3 ถ้วย
น้ำ                         3 ถ้วย
น้ำตาลทราย         ½ ถ้วย

วิธีทำ
1.             เอาดอกเก๊กฮวยแห้งที่ขายอยู่ทั่วไปมาล้างน้ำให้สะอาด
2.             ต้มน้ำจนเดือดพล่านแล้วหรี่ไฟลง ใส่ดอกเก๊กฮวยลงไปน้ำที่ออกมามีสีเหลืองอ่อน คนทิ้งไว้จนเย็นแล้วบีบดอก กรองด้วยผ้าขาวบางบนกระชอน  เอากากทิ้งไป
3.             เอาน้ำที่กรอกได้ตั้งไฟอีกครั้ง เติมน้ำตาลทราย ดื่มแบบร้อน หรือแบบเย็นก็อร่อยและหอม ได้ประโยชน์เช่นกัน
4.             ทำเก๊กฮวยชงแบบชาดื่มต่างน้ำ และดื่มได้โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลเติมน้ำร้อนได้เรื่อยๆ จนกว่าสีเหลืองจะหมดไป ดื่มได้วันละหลายแก้วโดยไม่มีอันตราย


กล้วยหอม









ส่วนผสม
กล้วยหอม 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
นมสดรสจืด 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 ปอกเปลือกกล้วยหอมแล้วหั่นให้ได้ 1 ถ้วย ใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้
2 เติมน้ำต้มสุก นมสด ตามอัตราส่วน ไม่ต้องใส่น้ำตาลและเกลือเพราะกล้วยสุกงอมจะหวานจัดและไม่มีรสฝาด
  เปิดสวิตช์ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียว ปิดเครื่อง ใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ มีหลอดกาแฟพร้อมช้อนตัก มีรสชาติหอมหวานเย็นชื่นใจ และได้คุณค่ามหาศาล จะดัดแปลงเอากล้วยสุกพันธุ์อื่น เช่น กล้วยไข่ กล้วยน้ำหว้ามา ปั่นด้วยก็อร่อยได้เหมือนกัน


น้ำข้าวโพด


















ส่วนผสม
ข้าวโพดต้ม 1 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างไส 2/3 ถ้วย
น้ำนมสด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
1 . นำข้าวโพดไปต้มให้สุก แล้วนำมาฝานเอาแต่เมล็ดได้ 1 ถ้วยไปปั่นในเครื่องปั่นรวมกับนมสด เกลือ น้ำต้มสุก น้ำเชื่อม ปั่นให้เข้ากันจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกานแล้ว รินใส่แก้วดื่มให้ได้รสชาติหวานหอม เย็นสดชื่น และทำให้อิ่มได้ด้วย
2.ข้าวโพดปกติจะมีรสหวาน แต่ถ้าข้าวโพดหักจากต้นมานานหลายวันแล้วจะไม่ค่อยมีรสหวาน ถ้าดื่มไม่อร่อยอาจจะเติมน้ำเชื่อมลงไปอีกเล็กน้อย


น้ำแครอต








ส่วนผสม
แครอตหั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างใส 2/3 ถ้วย
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
เกลือเล็กน้อย
วิธีทำ
1 ล้างแครอตให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆไม่เอาแกรนที่แข็ง เติมน้ำต้มสุก 1 ถ้วยปั่นให้ละเอียดดีแล้วจึงเติมน้ำเชื่อม น้ำมะนาว เกลือ เติมน้ำที่เหลือตามส่วนผสมให้เข้ากัน รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ ได้รสหวานอมเปรี้ยวและรู้สึกอิ่มด้วย
2 ทำน้ำแครอตปั่นด้วยการเอาน้ำแข็งทุบเติมไป 1 ถ้วยแทนน้ำต้มสุกที่เติมครั้งหลัง
 

ตะไคร้





ส่วนผสม
ต้นตะไคร้ 7 ต้น
น้ำสะอาด  3 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง ½ ถ้วย
วิธีทำ
1 ตัดตะไคร้ต้นแก่ทั้งต้นและใบ มาล้างสะอาด บุบลำต้นพอแตกแล้วตัดทำเป็นท่อน นำไปต้มให้ในน้ำให้ของดีในตะไคร้ออกมา เมื่อน้ำเดือดแล้วให้หรี่ไฟลง รอจนกระทั่งน้ำที่ต้มมีสีเขียวจึงกรอกเอากากทิ้งออกไป
2 น้ำตะไคร้ที่กรอกแล้วเติมน้ำตาลทรายแดง เติมน้ำให้ได้ระดับเท่าเดิม ต้มให้เดือดอีกครั้ง ยกลงดื่มร้อนๆ คล่องคอ หอมหวาน ได้กลิ่นตะไคร้และกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็นกับน้ำแข็งก็อร่อยชื่นใจ
3 ถ้าจะดื่มแบบชงชา ให้ซอยตะไคร้เป็นแว่น แล้วนำไปคั่วไฟอ่อนพอเหลืองหอม ชงน้ำร้อนดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่างรสปร่า กลิ่นหอม เผ็ดเล็กน้อย แต่ถ้าเติมน้ำตาลแล้วความหวานจะกลบสิ่งเหล่านั้นไปจนไม่รู้สึก


น้ำเตยหอม





ส่วนผสม
ใบเตยหั่น 1.5 ถ้วย (ใช้ใบเตย 10-20 ใบ)
น้ำสะอาด 3 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1ถ้วย
น้ำแข็งทุบ 1 ถ้วย
วิธีทำ
1 ใบเตยสดที่ไม่แก่มากเก็บใหม่ๆ ล้างทีละใบให้สะอาด นำมาหั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่ง ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำกำลังต้มเดือด ต้ม 5-10 นาที ยกลงแล้วกรองด้วยกระชอนเอากากออก
2 ใบเตยที่หั่นแล้วอีกส่วนหนึ่งปั่นกับน้ำเล็กน้อยให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบางเอากากออก เอาน้ำใบเตยที่คั่นได้ซึ่งมีสีเขียวสดนี้ลงในน้ำต้มใบเตย เติมน้ำตาลทรายให้รสหวาน ต้มให้ละลาย คนให้เข้ากัน ชิมให้มีรสหวานพอดี มีกลิ่นหอมของทั้งใบเตยสดและใบเตยต้ม เมื่อจะดื่มใส่น้ำแข็งบดละเอียด หรือจะนำไปปั่นรวมกับน้ำแข็งทุบก็ได้




น้ำฟ้าทลายโจร










ส่วนผสม
ลำต้นฟ้าทลายโจรสดหั่น ½ ถ้วย
ใบเตยหั่น 1 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง  1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 3 ถ้วย
วิธีทำ
1 นำฟ้าทลายโจรที่ล้างสะอาดมาหั่นสั้น นำมาต้มในน้ำเดือดแล้วใส่ใบเตยหั่นต้มด้วยกัน เพื่อปรุงกลิ่นและรสให้หอมอร่อย พอเดือดหรี่ไฟลง เคี่ยวจนกระทั่งได้น้ำสีเขียว
2 กรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง แล้วเติมน้ำตาลทรายแดง เติมน้ำให้มีระดับเท่าเดิม ต้มให้เดือด 3 นาที แล้วยกลง ดื่มได้ทั้งที่ยังร้อนหรือเอาไว้ดื่มแบบเย็นๆกับน้ำแข็งก็ได้ เก็บในตู้เย็นได้นานหลายวัน



น้ำมะเขือเทศ






ส่วนผสม
มะเขือเทศ 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างใส ½ ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ

1 ใช้มะเขือเทศสุกล้างน้ำสะอาด ผ่า 2 ซีก แกะเมล็ดออกเอาแต่เนื้อปั่นกับน้ำสุก เติมน้ำเชื่อม เกลือป่น ชิมดูรสเติมตามใจชอบ จะได้น้ำมะเขือเทศเข้มข้น รสหวานหอม มีรสเปรี้ยวเค็มเล็กน้อย
2 รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ ใส่หลอดกาแฟขนาดใหญ่ หรือมีช้อนยาวไว้ตักเนื้อมะเขือเทศทานจะสะดวก ดื่มทันทีจะได้คุณค่ามากกว่า


น้ำมะละกอ





ส่วนผสม
มะละกอสุก 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 3 ถ้วย
น้ำเชื่อม 1/3 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
1 ล้างมะละกอสุก ปอกเปลือก ล้างให้หมดยาง เอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก
2 ใส่เนื้อมะละกอลงเครื่องปั่น ใส่น้ำต้มสุก น้ำเชื่อม เกลือ ปั่นให้ละเอียด ได้น้ำสีส้มแดงขุ่นข้น รสหวานและหอม
3 ตักน้ำแข็งใส่แก้ว เท่น้ำมะละกอใส่ หรือนำไปปั่นกับน้ำแข็งทุบสักเล็กน้อยก็ได้รสอร่อยเหมือนกัน

น้ำว่านหางจระเข้






ส่วนผสม
วุ่นใสจากว่านหางจระเข้ ½ ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างใส ½ ถ้วย
น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
1 เลือกใบว่านหางจระเข้ที่มีขนาดใหญ่โตเต็มที่ ปอกเปลือกสีเขียวเข้มทิ้งไป ล้างน้ำให้หมดยางสีเหลือง นำวุ่นใสใส่เครื่องปั่น เติมน้ำต้มสุก ปั่นให้ละเอียด
2 กรองด้วยผ้าขาวบางเอากากทิ้งไป เติมน้ำเชื่อม เกลือกเล็กน้อยแล้วคนให้เข้ากัน ดื่มทันทีกับน้ำแข็ง หรือใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น


น้ำเสาวรส



ส่วนผสม
ผลเสาวรสสุก 1 ถ้วย (4 ผล)
น้ำเชื่อมอย่างใส ½ ถ้วย
น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
1 เลือกผลเสาวรสสุกและสดจึงจะได้รสชาติที่ดี ผลดีมีผิวสีสวย ไม่เหี่ยว ไม่เน่า เมื่อล้างผลเสาวรสสะอาดดีแล้วให้ผ่าซีกแล้วเอาช้อนตักเนื้อข้างในผลลงไปในเครื่องปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันกรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือเล็กน้อย ผสมให้เข้ากัน รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ ได้น้ำเสาวรสเย็นฉ่ำชื่นใจ
2 นำน้ำเสาวรสมาผสมกับน้ำแครอท แอปเปิล น้ำสับปะรดก็จะได้คุณค่าสารอาหารมากขึ้น มีรสชาติอร่อยหลายแบบบออกไป และทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยไปทั้งวัน



          ข้อควรระวังในการใช้ผักผลไม้เป็นสมุนไพรรักษา
  ในการที่จะปลูกพืชผักสมุนไพรไว้ใกล้บ้าน เพื่อที่จะนำมาใช้เมื่อมีความจำเป็นนั้น ต้องมีความรู้ในตัวสมุนไพรนั้นเป็นอย่างดีว่าใช้อย่างไรจึงจะได้ผล และไม่มีพิษภัย นั่นคือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง การปลูกพืชในครั้งแรกควรมีป้ายปักบอกชื่อเอาไว้ ในกรณีที่ปลูกไว้หลายต้นยิ่งจำเป็น คนที่อยู่ใกล้เคียงจะได้รู้ด้วยว่าต้นไหนเป็นอะไร ต้องรู้สรรพคุณยาสมุนไพรในแต่ละส่วนของลำต้น นั้นคือต้องใช้ให้ถูกส่วนว่าส่วนใดใช้เป็นยาแก้โรคอะไร ต้นเดียวกันใบกับผลมีฤทธิ์ทางยาต่างกันก็พบได้บ่อย และนอกจากสรรพคุณยาต่างกันแล้ว จะเป็นราก ใบ ดอก เปลือก ผล เมล็ด มักจะมีฤทธิ์ไม่เท่ากันด้วยความสมบูรณ์ของพืชผักนั้นก็มีผลต่อคุณภาพยาด้วย จากนั้นก็ต้องรู้ว่า ใช้ให้ถูกขนาดที่เหมาะสม สมุนไพรถ้าใช้น้อยไปก็รักษาไม่ได้ผล แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจเกิดเป็นอันตรายหรือเกดพิษต่อร่างกายได้ และต้องใช้ให้ถูกวิธี เช่น การต้ม บดเป็นผง ดอง ฝน ทาน ท ถูนวด อบ รม หรือสูดดม จะต้องรู้วิธีใช้ให้ถูกต้อง โดยที่ขั้นตอนในการทำยาสมุนไพรต้องรักษาความสะอาดทั้งเครื่องมือ วิธีการทำ และวัสดุต่างๆที่ใช้ประกอบ

                   
 อาการแพ้ที่พบได้จากการใช้ยาสุมนไพร
  สมุนไพร แม้จะเป็นยาตามธรรมชาติ มีฤทธิ์ข้างเคียงน้อยกว่ายาสังเคราะห์แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยไปทุกตัว ในบางคนอาจจะมีความไวต่อสารบางอย่างเป็นพิเศษก็ทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน ลักษณะอาการที่จะบอกได้ว่ามีการแพ้ยาสมุนไพรมีดังต่อไปนี้
1 ผื่นขึ้นตามผิวหนังอาจเป็นตุ่มเล็ก หรือตุ่มโต หรือเป็นปื้น อาจจะมีหรือไม่มีอาการคัน บวมที่ตาหรือริมฝีปาก
2 เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรืออาเจียน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมีอาการรวมกัน
3 ประสาทสัมผัสไวเกินปกติ เช่น เพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ หื้อ ตาลาย
4 ใจสั่น หัวใจเต้าผิดปกติและเป็นอยู่บ่อยครั้ง
5 ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลืองและเป็นฟองสีเหลือง ซึ่งต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

อาการเจ็บป่วยและโรคที่ไม่ควรใช้ยาสมุนไพรรักษา
  ควรใช้ผักผลไม้สมุนไพรใกล้บ้านในกรณีที่มีอาการไม่สบายเล็กน้อย เพิ่งมีอาการ หรืออากรที่ทราบว่ามีสาเหตุจากอะไรและแน่ใจว่าใช้ยาสุมนไพรชนิดนั้นอย่างถูกวิธี ถูกขนาด แล้วจะรักษาหาย แต่ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการป่วยรุนแรงควรรีบส่งโรงพยาบาล ไม่ควรที่จะใช้ยาสมุนไพร หรือซื้อยามากินเอง เพราะนอกจากไม่หายแล้วอาจมียาที่ไปกระตุ้นให้มีอาการมากขึ้น และมัวแต่หายาสมุนไพรอาจจะสายเกินไป อาการป่วยรุนแรงดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
1 ไข้สูงมาก บางทีเพ้อ จับไข้วันเว้นวันหรือ 2 วัน
2 ตาเหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย อาจมีเจ็บหน้าอก
3 ปวดท้องมากแถวๆรอบสะดือ หรือต่ำจากสะดือลงมาทางขวา เอามือกดแล้วเจ็บ
4 เลือดออกทางช่องคลอด
5 อาเจียนหรือไอมีเลือดออกมาด้วย ควรนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
6 ท้องร่วงอย่างแรง ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้งติดกัน ถ้าเป็นเด็กไม่ควรให้ถ่ายเกิน 3 ครั้ง ถ้าผู้ใหญ่ไม่ควรให้เกิน 5   ครั้ง ต้องรีบส่งโรงพยาบาลและรีบหาน้ำเกลือแห้งมาละลายน้ำให้กิน ถ้าหากไม่ได้เอาเกลือที่ใช้ในครัวมาละลายน้ำถ้ามีน้ำเกลือผลสมลงไปนิดหน่อยให้ดื่มแทนไปก่อนในระหว่างพาไปโรงพยาบาล
7 โรคร้ายแรงอื่นๆ อุบัติเหตุร้ายแรง และโรคที่ดูอาการไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่





0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความผอมสวยด้วย ผักและผลไม้

0 ความคิดเห็น



            เหตุใดสาวยุคใหม่จึงคลั่งน้ำผัก-ผลไม้กันมาก ทั้งๆที่มีเครื่องดื่มมากมายให้เลือกสรรทั้งน้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ประเภทต่างๆ หรือแม้แต่น้ำหวานหลากสีสัน.... แน่นอนว่าเครื่องดื่มที่กล่าวมาทั้งหมดนี้นอกจากไม่ค่อยมีคุณค่าแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยสารพิษนานาจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าน้ำผัก- ผลไม้ พร้อมดื่มจึงเป็นที่นิยมมาก
            แต่สาวๆที่ฉลาดจะรู้ว่าพวกเธอสามารถทำน้ำผัก- ผลไม้ดื่มเองได้ เพียงแค่ได้สูตรแสนอร่อยมากประโยชน์ ทำง่าย และสุดแสนประหยัด พวกเธอก็จะได้เครื่องดื่มเพิ่มพลัง คืนความสดใสเหมาะกับช่วงควบคุมน้ำหนักช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส และยังปราศจากสารพิษต่างๆ ที่มีในเครื่องดื่มจากโรงงงานอุตสาหกรรมด้วย
            เลิกทำร้ายตัวเองด้วยการปล่อยปละละเลยสุขภาพ หันมาทำน้ำผัก-ผลไม้ดื่มเอง  แล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตเปลี่ยนไปเร็วๆทั้งความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และสารอาหารดีๆ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ทุกวันของคุณมีความหมายมากหมาย มากขึ้น

            ผักและผลไม้เมืองไทยมีหลากหลาย พืชผักผลไม้หลายชนิดที่มีให้ทานตลอดฤดูกาล เช่น กล้วย ขนุน มะพร้าว ฝรั่ง ส้มโอ ส้มเขียวหวาน ทับทิม มะละกอ และผักสวนครัว ผักริมรั้ว ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ระบบต่างๆทำงานได้ตามปกติ เสริมสร้างบำรุงร่างกายทุกส่วนให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคหลายโรคและมีสรรพคุณทางยานำมารักษาโรคเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่น อาการหวัด คัดจมูก เจ็บคอ ท้องเสีย ท้องผูก ท้องเฟ้อ ลดไข้มันในเส้นเลือด  ลดน้ำตาลในเลือด  เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งปัจจุบันมีการส่งให้บริโภคผักผลไม้  ดื่มน้ำผัก ผลไม้  การใช้ผักผลไม้เป็นยาสมุนไพร ทำเครื่องสำอางจากสมุนไพรผักผลไม้กันมากขึ้นในทุกท้องถิ่น


           อย่างไรก็ตามจากการสำรวจ คนไทยดื่มน้ำผักผลไม้กันน้อยมาก แม้ว่าปัจจุบันจะมีน้ำผักผลไม้พร้อมดื่มขายในท้องตลาดมากกว่าแต่ก่อนในรูปแบบหลากหลาย เช่น คั้นสด ปั่นสด หรือบรรจุในกระป๋อง ในกล่องกระดาษ แต่ก็ยังไม่เหมือนน้ำอัดลมที่ขายดิบขายดีด้วยความสะดวกซื้อได้ทุกที่ และอยู่คงทนได้ไม่เน่าเสีย  เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่ทราบถึงคุณประโยชน์ของน้ำผักผลไม้และทราบถึงพิษภัยของน้ำอัดลมที่ปราศจากวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็น หากเปลี่ยนความคิดจากรสชาติและความสะดวกของน้ำอัดลม  แล้วมีเป้าหมายว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอายุยืน ไม่ให้โรคภัยมาเบียดเบียน วิธีหนึ่งคือการดื่มน้ำผักผลไม้รสอร่อยอันอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการ  โดยเฉพาะวิตามินและเกลือแร่ ควรทำดื่มเองที่บ้านทั้งครอบครัว  ปลูกฝังเด็กให้ชอบดื่มน้ำผักผลไม้ เพราะเด็กสมัยนี้โตขึ้นมากับน้ำอัดลมที่มีหลากหลายยี่ห่อ หลายรส ขนมกรุบกรอบที่เค็ม กับผงชูรส ขนมสีจัดจ้านซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ  แล้วมีโอกาสที่จะได้รับวิตามินและเกลือแร่ไม่เพียงพอ นอกจากนั้นการทำดื่มเองที่บ้านยังปลอดภัยจากสารปนเปื้อน และประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย

        การทำน้ำผักผลไม้ ด้วยวิธีการง่ายๆ พืชผักที่หาได้ง่ายจากข้างรั้วบ้านหรือในสวนครัว จะดีที่สุด เพราะปลอดสารพิษ ยาฆ่าแมลง ถ้าซื้อในตลาดและซุปเปอร์มาร์เกต  ก็จะมีผักริมรั้วหรือขึ้นเองตามธรรมชาติที่ไม่โดนย่าฆ่าแมลง อย่างเช่น ตำลึง มะขามป้อม มะดัน กล้วย มะเขือเทศ ฟักทอง กระเพรา กระชาย ข่า ขิง ใบเตย ฟ้าทะลายโจร มะตูม มะไฟ มะพร้าว มันแกว ยอ ลูกตาล ลูกหว้า เป็นต้น ส่วนพืชผักที่มียาฆ่าแมลงเพราะนอนชอบไปกัดกิน ได้แก่ ชมพู่ พุทรา องุ่น คะน้า ผักกาดเขียว ดอกกะหล่ำ กวางตุ้ง

         สำหรับผู้มีโรคประจำตัวก็สามารถเลือกดื่มน้ำพืชผักที่มาช่วยรักษาอาการป่วย มาเสริมแร่ธาตุวิตามินที่ร่างกายขาดหายไป อย่างเช่นผู้ที่เป็นโรคไขมันในหลอดเลือดสูงควรเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่ลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เช่น กระเจี๊ยบแดง บัวบก ขึ้นฉ่าย เป็นต้น

         ดังนั้นหากเรารู้ถึงข้อดี ประโยชน์ที่ได้จากผักผลไม้แต่ละชนิดรู้ว่าบางชนิดไม่เหมาะกับร่างกายในตอนนั้น คำนึงถึงว่าในแต่ละวันควรได้รับสารอะไรจากผักผลไม้ชนิดใดบ้างจึงจะเพียงพอ และโทษของการทานมากเกินความต้องการโดยเฉพาะในเรื่องของน้ำตาลและเกลือ รู้ถึงข้อควรปฏิบัติในการทำน้ำผักผลไม้ให้เหมาะสมกับตนและครอบครัว ลองทำน้ำผักผลไม้ที่ไม่เคยดื่มมาก่อน  จะได้พบกับเครื่องดื่มรสชาติแปลกใหม่ที่มีอยู่ใกล้ตัวมากมาย เชื่อว่าการดื่มน้ำผักผลไม้อย่างถูกหลักทุกวันจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แข็งแรงขึ้น และสุขภาพดีไปอีกนาน จนไม่อยากจะนึกหาน้ำอัดลมอีกเลย  
       

          ร่างกายกับความต้องการอาหาร
          ความต้องการสารออหารของคนเราในแต่ละวัยแต่ละภาวะ จะมีความแตกต่างกันออกไป จึงมีข้อแนะนำสำหรับการทานอาหารในแต่ละวัย เช่น อาหารสำหรับทารก อาหารสำหรับหญิงมีครรภ์ อาหารสำหรับวัยรุ่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องของพลังงานที่ต้องการใช้ และสารอาหารบางตัวที่จำเป็นมากขึ้นในบางภาวะหรือบางวัยในที่นี้จะเลือกเอาความต้องการอาหารในวัยผู้ใหญ่มาเป็นเทียบเคียงว่าในวันหนึ่งเราควรจะบริโภคน้ำผักผลไม้เท่าไหร่จึงจะเพียงพอและไม่เกิดโทษ
   วัยผู้ใหญ่ต้องการสารอาหารมากพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ต้องการสารอาหารต่างๆอย่างครบถ้วนเพื่อเสริมสร้างเซลล์ต่างๆของร่างกายให้ทำงานตามปกติ การขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความบกพร่องต่อการทำงานของร่างกาย ทำให้แสดงความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีอาการหลายอย่างด้วยกัน โดยแต่ละวันแล้วควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นั่นคือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ ให้ได้สัดส่วน จะทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่มีปัญหาอ้วนหรือผอม ควรหลีกเหลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น ไขมัน น้ำตาล ซึ่งมักเลี่ยงยากเสียด้วย อย่างเช่น น้ำตาลซึ่งอยู่ในทั้งของหวานของคาว ผลไม้และน้ำผลไม้  เครื่องดื่มต่างๆ จึงควรระวังพิเศษต่อร่างกาย องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่าไม่ควรทานน้ำตาลมากเกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน และทานเกลือเกินสามช้อนชา หรือ 6 กรัมต่อวัน

   1. พลังงาน  ผู้ใหญ่แต่ละคนมีความต้องการพลังงานตามโครงสร้างร่างกายและน้ำหนัก การใช้พลังงานโดยทั่วไปจะต้องวันละ 20 แคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่สำหรับคนใช้แรงงานจะต้องการพลังงาน 40 แคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หากต้องการทราบก็ลองเอาน้ำหนักมาคำนวณดูก็จะทราบพลังงานที่ตัวคุณต้องการ พลังงานควรได้มาจากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ตามด้วยโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ ทานไขมันให้น้อยที่สุด ไขมันไม่อิ่มตัวเป็นชนิดที่ร่างกายต้องการเพื่อช่วยสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อ มีมากในปลา เลชิทินเม็ด จากกการบริโภคของคนไทยพบว่าส่วนใหญ่มักจะทานไขมันมากเกินไป มาจากการทานแป้งมากเกินไปด้วย

   2.  โปรตีน  มีหน้าที่เสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของร่างกายเท่านั้น ไม่ได้เอาไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต ส่วนที่สึกหรอ ได้แก่ เสันผม เล็บ ผิวหนัง กระดูก ฟัน เส้นเลือด นอกจากนี้ยังมีโปรตีนในเม็ดเลือดแดง โปรตีนเอนไซม์ในการย่อยอาหาร สิ่งเหล่านี้ได้ทยอยตายไปและมีส่วนที่เซลล์สร้างมาใหม่ทดแทน ผู้ใหญ่ควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ควรเป็นโปรตีนจากพืช ธัญพืช มากกว่าโปรตีนจากสัตว์ถ้าเราบริโภคโปรตีนมากเกินไปจะมียูเรียในปัสสาวะมาก ไตทำงานหนัก คนที่เป็นโรคไตจึงห้ามทานโปรตีนมาก

   3. วิตามินและเกลือแร่ เป็นสิ่งจำเป็นมาก ถ้าได้ไม่ครบทุกชนิดหรือได้ในปริมาณไม่เพียงพอก็จะทำให้ร่างกายมีการทำงานผิดปกติไป วิตามินและเกลือแร่ทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอโดยมักต้องทำงานร่วมกันอาศัยซึ่งกันและกัน เกลือแร่ในร่างกายมี 28 ชนิด แต่ที่ร่างกายขาดไม่ได้เลยมี 18 ชนิด ในคนแต่ละวัย วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยสูงอายุ หญิงตั้งครรภ์  ผู้ป่วยจะมีความต้องการวิตามินแร่ธาตูบางตัวที่มากกว่าหรือน้อยกว่าไปบ้างตามความต้องการใช้ของร่างกายในสภาวะนั้นๆ อย่างเช่นหญิงตั้งครรภ์ต้องการแคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี วิตามินซี มากเป็นพิเศษเพื่อนำไปใช้สร้างกระดูก ฟัน หรือในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเหลือก็มีสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดแมกนีเซียมและซิลิเมียม และมีอีกหลายโรคที่มีสาเหตุการขาดวิตามินหรือเกลือแร่

   4.  น้ำ จำเป็นต่อร่ายกายในการหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ การจับกันของของเสียเพื่อขับทางปัสสาวะ ดื่มน้ำอย่างน้อยวัยละ 1 ลิตร หากดื่มน้อยไปโอกาสที่ของเสียตกตะกอนในไต เกิดโรคนิ่วสะสมในไตและตามข้อต่างๆสำหรับผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำผักผลไม้ ต้องระวังระดับน้ำตาลมากเกินความต้องการจากเครื่องดื่มเหล่านนนั้นด้วย อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเบาหวาน

   5. เส้นใยอาหาร  มีอยู่ในพืชผักผลไม้เท่านั้น ไม่มีอยู่ในเนื้อสัตว์เลย เส้นใยอาหารจะมีแคลอรีต่ำ ช่วยป้องกันม้องผูกโดยทำให้อุจจาระนิ่ม ถ่ายคล่อง ลดปริมาณคอแลสเตอรอล ป้องกันการดูดซึมน้ำตาลสู่ร่างกายดุดซึมสารก่อมะเร็งในทางเดินลำไส้ เส้นใยอาหารมีมากในธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ในผักผลไม้โดยส่วนใหญ่มีมากในกระเพรา คะน้า ผลฝรั่ง ข้าวโพด แครอท  ถั่วเหลือง มะขาม เป็นต้น แต่ผลไม้บางชนิดก็ไม่มีเส้นใยอาหารอยู่เลย เช่น เนื้อลูกตาลอ่อน เนื้อมะพร้าว แตงไทย


คุณประโยชน์ของผักผลไม้ต่อร่างกาย
   ในยุคสมัยนั้นผู้คนสนใจดูแลสุขภาพมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด กิจการด้านสุขภาพไม่ว่าจะเป็นอาหาร การออกกกำลังกาย พืชสมุนไพร มีการปรับปรุงมาทำเป็นสิ่งที่สะดวกขาย สบายซื้อ ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย หรือการกินอยู่อย่างไทยที่ค้นพบส่วนดีของธรรมชาติมานนมนานแล้ว ได้ถูกนำมารื้อฟื้นให้ความสนใจร่วมกับคุณสมบัติที่ได้ทราบจากวิทยาการสมัยใหม่ จึงกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเพื่อส่งเสริมรักษาบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงสดชื่น หลีกเลี่ยงสารพิษ และป้องกันการเกิดโรคต่างๆ อันเกิดจากอาหาร รวมทั้งบำรุงชีวิตให้ยืนยาว
   ในขณะที่ผักพื้นบ้านที่อุดมไปด้วยเอนไซม์ แร่ธาตุ วิตามินเอ บี อี ซี และเส้นใยอาหาร ผลไม้ไทยที่อร่อยหอมหวาน มีคุณภาพไม่ด้อยไปกว่ากันขึ้นอยู่กับความต้องการผลไม้ ซึ่งทั้งผัก ผลไม้ และพืชสมุนต่างก็ได้รับความนิยม นำเอามาใช้ทั้งในรูปแบบน้ำผลไม้ อาหารความและหวานทำเป็นยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาพืชผักผลไม้ มาใช้ในรูปแบบของเครื่องดื่มสมุนไพรนั้นเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่สามารถทำด้วยตนเองง่ายๆ
   คุณประโยชน์ของพืชผักดังกล่าวมีมากมายหลายด้าน หากสามารถเลือกทานให้เหมาะกับสภาพร่างกายแล้ว เชื่อว่าถ้าได้ออกกกำลังกายและนอน
หลับอย่างเพียงพอด้วยจะทำให้สุขภาพดีถึงร้อยปีเลยทีเดียว คุณค่าน้ำผักผลไม้ อาทิเช่น ลดคอเลสเตอรอล บำรุงผิว บรรเทาหวัด คัดจมูก แก้ไอ แก้ท้องเสีย แก้ท้องผูก แก้อักเสบ บำรุงตับ ไต จะมีประโยชน์มากขึ้นเมื่อเลือกให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายในเวลานั้น ดังนั้นจึงสามารถนำเอาน้ำผักผลไม้มาทำการักษาผู้ป่วยได้ด้วยตนเองและครอบครัวซึ่งมีมากมายดังนี้

   ผักผลไม้บำรุงกระดูกฟัน
   เนื่องจากเซลล์ของกระดูกมีความต้องการในแคลเซียมในแต่ละวันอย่างพอเพียง ที่จะช่วยสร้างกระดูกในวัยเด็กและเพิ่มความแน่นของกระดูกในวัยผู้ใหญ่และวัยชรา ดังนั้นทุกคนจึงควรทานอาหารที่มีแคลเซียมอย่างพอเพียง ในผู้ใหญ่เฉลี่ยประมาณวันละ 800-1,000 มิลลิกรัม หญิงมีครรภ์ต้องการมากขึ้น แคลเซียมมีมากในน้ำนม ปลาป่น กุ้งแห้ง และผักใบเขียวที่มีปริมานแคลเซียมสูง ได้แก่ มะขาม ใบบัวบก เตยหอม แตงไทย ยอ ใบชะพลู มะดัน กะเพรา คะน้า ถั่วเหลือง และขึ้นฉ่าย เป็นต้น การที่ร่างกายจะดึงแคลเซียมไปใช้ได้เป็นจำเป็นต้องมีวิตามินดีซึ่งได้รับจากแสงแดดอ่อนๆวันละ 10 นาที ก็เพียงพอต่อร่างกาย

 ผักผลไม้บำรุงสายตา
วิตามินเอมีผลต่อการทำงานของสายตา ทำให้ตาทำได้ดี และมีการมองเห็นชัดเจน หากขาดวิตามินเอจะทำให้เกิดโรคตามัว ตาฝ้าฟาง เคืองตา ซึ่งป้องกันด้วยการทานพืชผักผลไม้ต่างๆ ที่มีวิตามินเออย่างพอเพียงในแต่ละวันซึ่งมีมากในผักผลไม้ ได้แก่ ใบบัวบก สะระแน่ คะน้า ยอดแค ใบกะเพรา ใบขี้เหล็ก แครอท ฟักทอง ตำลึง มะละกอสุก เป็นต้น ปกติผู้ใหญ่ต้องการวิตามินเอวันละ 4,000-5,000 I.U. ดังนั้น การดื่มน้ำใบบัวบกที่ใช้ใบบัวบก 50 กรัม จะได้รับวิตามินเอ 5,481 I.U. ซึ่งงยังไม่รวมวิตามินเอทั้งได้จากแหล่งอาหารอื่น พืชอื่น นมหรือเนื้อสัตว์ การได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะมีการสะสมและเกิดโรคร้ายต่อร่างกาย แต่ไม่ค่อยมีคนเป็นเพราะนั้นหมายถึงการได้รับถึงวันละ 50,000 I.U. ซึ่งร่างกายไม่สามารถกำจัดออกไปได้หมด และเมื่อหยุดทานวิตามินเอ อาการพิษจากวิตามินเอมากก็จะค่อยๆหายไป นอกจากนั้นเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอก็ช่วยบำรุงสายตาด้วยเช่นกัน แหล่งของเบต้าแคโรทีน ได้แก่ ยอดแค ยอดฟักข้าว ใยเตยหอม ผักตังโอ๋ เป็นต้น

 ผักผลไม้ที่ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน
   คนที่ร่างกายอ่อนแอ มีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก คนที่มีโรคประจำตัว คนที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้มีปัญเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่ำ หรือคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เอดส์ มะเร็ง ฯลฯ มีพืชผักและผลไม้หลายชนิดที่มีคุณสมบัติเพิ่มภูมิต้านทานโรคในคนธรรมดาเป็นส่วนป้องกันมิให้ร่างกายอ่อนแอลง จึงควรทานพืชผักที่มีคุณสมบัติบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น อาทิเช่น กระเทียม เห็ดลินจือ โสม เห็ดหอม ถั่วเหลือง บัวบก ใบกะเพรา รากบัว ธัญพืช
   

ผักผลไม้ช่วยเจริญอาหาร
  พืชผักที่ทำให้เจริญอาหารหรือทานอาหารมากขึ้นนั้น มักเป็นสมุนไพรที่มีรสขม ซึ่งเรียกกันว่า bitter tonic และพืชผักที่มีรสเผ็ดร้อนจากน้ำมันหอมระเหย ซึ่งช่วยกันกระตุ้นให้น้ำลายและน้ำย่อยอาหารออกมาย่อยอาหารมากขึ้น ความขมช่วยเพิ่มการดูดซึมของอาหารด้วย ทำให้มีความแข็งแรงมากขึ้นหลังทานอาหาร นอกจากนี้กลิ่นหอมของพืชผักนั้นยังทำให้เกิดอารมณ์ความอยากที่จะทาน อาทิเช่น มะระขี้นก ขี้เหล็ก บอระเพ็ด สะเดา กระชาย ตะไคร้ โหระพา ขิง ข่า สะระแหน่ พริก เป็นต้น

ผักผลไม้ที่ช่วยให้นอนหลับ
  การได้รับวิตามินบีอย่างเพียงพอเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น รู้สึกคลายเครียด โดยที่ออกฤทธิ์ช่วยระงับประสาทและช่วยให้นอนหลับ พืชผักที่มีวิตามินบีสูง ได้แก่ ผักใบสีเขียว เช่น คะน้า มะระขี้นก ใบยอ ธัญพืชต่างๆ ใบขี้เหล็ก แคนตาลูป แอปเปิล เก๊กฮวย ลำไย มันแกว ลิ้นจี่ ถั่วเหลือง ข้าวโพด มะตูม และยังมีรายงานการวิจัยในสัตว์ทดลองว่าสารสกัดจากรากบัวและสารสกัดจากใบมะรุมออกฤทธิ์เสริมยานอนหลับบาร์บิทูเรทได้ ข้อควรระวังคือทานตะไคร้มากจะทำให้นอนไม่หลับ


ข้อควรคำนึงในการทำน้ำผักผลไม้

 การเลือกพืชผัก ผลไม้
  ผักผลไม้สด เลือกดูที่ใบหรือดอกหรือผลที่จะนำมาใช้ว่ามีความสดใหม่ เต่งตึง มีลักษณะสีสันเป็นธรรมชาติ ลีไม่ซีดหรือแปลกไปจากของใหม่สด ไม่มีรอยซ้ำเน่าเสีย ไม่เหี่ยวย่น เฉาแห้ง ถ้ามีรอยแมลงกัดกินบ้างก็จะช่วยให้รู้ว่าแมลงกินได้ก็คงจะไม่มียาฆ่าแมลงมากนัก ถ้าเก็บเกี่ยวเองจากลำต้นให้เลือกมาจากลำต้นที่กำลังเจริญเติบโตดี จะมีคุณค่ามากกว่าเก็บจากต้นที่เหี่ยวเฉาหรือใกล้จะตาย และมีคุณค่ามากกว่าผักผลไม้ที่เก็บมานานหลายวัน


การใช้อุปกรณ์ภาชนะทำน้ำผักผลไม้
  ภาชนะที่ใช้ในการทำต้องไม่ทำปฏิกิริยากับสารที่มีในผักผลไม้ ต้องสะอาด สำหรับผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะขาม สับปะรด มะเฟือง กระเจี๊ยบ ฯลฯ ควรใช้ภาชนะเคลือบ หม้อเคลือบในการต้ม เคี่ยว เนื่องจากกรดต่างๆ ที่มีอยู่ในเนื้อผลไม้ทำปฏิกิริยากับภาชนะอะลูมิเนียม ทองแดง หรือทองเหลือง ทำให้โลหะหนักจากภาชนะเหล่านั้นละลายปนออกมากับน้ำผักผลไม้นั้น มีดสำหรับหั่นหรือปอกก็เช่นเดียวกัน ไม่ควรใช้มีดเหล็กที่จะทำให้ผลไม้มีผิวสีดำเพราะทำปฏิกิริยากับสารแทนนินในผลไม้ ให้เลือกใช้แบบมีดสเตนเลสสามารถป้องกันปฏิกิริยาได้ การใช้ภาชนะไม่เหมาะยังทำให้รสชาติ สีสันของเครื่องดื่มเปลี่ยนได้ เขียงที่ใช้หั่นหรือสับต้องสะอาดไม่มีซอกหรือรอยแตกที่มีเศษสิ่งสกปรกซุกให้เกิดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และมีกลิ่นเหม็น ผ้าขาวบางที่ใช้กรอกไม่ควรมีเชื้อหรา ควรซักล้างให้สะอาดหลังการใช้งานทันที
   ภาชนะที่ใช้บรรจุหลังปรุงเสร็จ ถ้าทำทานเองในครอบครัว ควรเป็นภาชนะแก้วที่ไม่เกิดโทษ ทนความร้อนจากเครื่องดื่มหลังการต้ม และเก็บไว้ได้นานเพราะมีการแลกเปลี่ยนก๊าซกับอากาศภายนอน้อย ทั้งนี้ขวดแก้วนั้นต้องต้มหรือนึ่งฆ่าเชื้อก่อนไม่น้อยกว่า 30 นาที แบ่งแล้วปิดฝาเกลียวไว้ให้สนิท ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจึงเก็บเข้าตู้เย็น ถ้าจะเก็บขวดพลาสติกต้องรอให้น้ำเย็นลงเสียก่อน จากงานวิจัยบอกว่ามักมีสารอันตรายในพลาสติกละลายออกมาในปริมาณหนึ่งโดยที่ขวดยังทรงรูปร่างปกติ สารนั้นเมื่อได้รับมากขึ้นจะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งสูง จึงควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้ภาชนะพลาสติก
  เครื่องปั่นผลไม้มีหลายแบบมีทั้งแบบไม่แยกกาก ความเร็วคงที่หรือปรับความเร็วได้ มีเครื่องที่สามารถคั่นแยกกากาออกไปในตัวแน่นอนว่ามีราคาแพงขึ้นตามคุณสมบัติ การใช้เครื่องปั่นเหล้านี้มักจะมีคู่มือการใช้งานติดมากับเครื่อง ระวังเรื่องระยะเวลาในการปันไม่ให้นานมากเกินไป จะทำให้มอเตอร์ไหม้ได้ ปกติแล้วควรปั่นราว 30 วินาทีแล้วก็หยุดพักสักครู่หนึ่งจึงปั่นอีกครั้ง ทำซ้ำๆ จนกว่าจะละเอียดดี ระวังให้มีดหมุนได้ตามปกติ อย่าให้ติดขัดซึ่งอาจจะเป็นเพราะผักนั้นชิ้นใหญ่และแข็งเกินไป หรือน้ำน้อยเกินไปจึงปั่นยาก และอีกข้อหนึ่งต้องระวังเรื่องไฟรั่ว ไฟดูด ดุแลอย่าให้เครื่องชำรุด


 การล้างผักและผลไม้เพื่อให้ปลอดสารพิษ
1.             ล้างด้วยน้ำโซดาไฟเจือจาง โดยเตรียมผงโวดาไฟ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักผลไม้ให้ท่วมนาน 15 นาที หรือใช้น้ำยาสำหรับล้างผักโดยเฉพาะแทนโซดาไฟ แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าหลายๆครั้ง ลดปริมาณสารพิษได้ 90% แต่วิตามินเออาจจะสูญเสียไปบ้าง
2.             แช่ผัก ผลไม้ ให้ท่วมด้วยน้ำคลอรีน ใช้ผงปูนคลอรีนครึ่งช้อนชาละลายในน้ำ 20 ลิตร แช่ไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าหลายๆครั้งจะฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้ด้วย เป็นวิธีที่ดีมาก ลดปริมาณสารพิษได้ดีด้วย
3.             การใช้น้ำก๊อกไหลผ่านผักผลไม้ที่แกะเป็นใบ เช่น ผักกาด กะหล่ำปลี หรือว่างไว้ซ้อนทับกัน โดยใช้มือช่วยทำความสะอาดประมาณ 2 นาที  ลดปริมาณสารพิษได้ 54-63%
4.             การแช่ในน้ำสะอาด 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้เพียงร้อยละ 7-8 ซึ่งถ้าเป็นพวงองุ่นล้างแบบนี้จะได้รับยาฆ่าแมลงไปอย่างน่ากลัว
5.             ผลไม้มีเปลือกควรล้างเปลือกเสียก่อนที่จะปอกทาน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะติดไปตามรอยมีดเข้าไปใน เนื้อผลไม้ และมือที่หยิบไปในแต่ละครั้งจะพาเชื้อโรคและสารพิษต่างๆ ติดไปด้วย



การทำน้ำเชื่อมแบบเข้มข้นและแบบใส
 ข้อแนะนำการบริโภคน้ำตาลของคนไทย ควรได้รับไม่เกินวันล่ะ 2 ช้อนโต๊ะ ซึ่งคำนวณว่าน้ำผลไม้ที่จะดื่มนั้นมีปริมาณน้ำตาลใน 1 แก้วเป็นปริมาณเท่าไหร่ และนั้นไม่รวมน้ำตาลจากผลไม้ด้วย อย่างเช่น ทำน้ำแตงโม 1 แก้วจะใช้น้ำเชื่อมอย่างไส 1 ช้อนโต๊ะ จะมีน้ำตาลอยู่ 15 กรัม นั่นถ้าชอบน้ำผักผลไม้ต้องพยายามเลี่ยงน้ำตาลโดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาวที่ปราศจากวิตามิน เกลือแร่ ควรทำน้ำผักผลไม้ล้วนโดยเลือกจากผลไม้ที่มีรสหวานเช่น ส้ม องุ่น แตงโม มาเป็นส่วนผสมและเพิ่มน้ำมะนาวจะช่วยให้รสดีและดื่มง่ายขึ้น


1.              น้ำเชื่อมแบบเข้มข้น
  น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัมกับน้ำสะอาดครึ่งลิตร ตั้งไฟปานกลาง คนให้น้ำตาลละลายหมดพอเดือดแล้วก็ยกลงทิ้งไว้ให้เย็นจะได้น้ำเชื่อมประมาณ 1.5 มีลักษณะเหนี่ยวหนืด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาเศษสิ่งต่างๆออกไป เก็บไว้ในภาชนะมีฝาปิดมิดชิดกันมดและแมลง

2.              น้ำเชื่อมอย่างไส
น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัมละลายในน้ำสะอาด 1 ลิตร ตั้งไฟปานกลาง คนให้น้ำตาลละลายหมด พอเดือดแล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็น จะได้น้ำเชื่อมประมาณ 2 ลิตร กรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาเศษสกปรกออกไป เก็บน้ำเชื่อมๆไว้ในขวดสะอาดมีฝาปิดกันมดและแมลง


ภาชนะชั่งตวงเพื่อทำน้ำผลไม้
  เพื่อให้ได้น้ำผลไม้ ที่ทำขึ้นมาแต่ล่ะครั้ง มีรสชาติอร่อยเหมือนกันทุกครั้ง จึงจำเป็นต้องมีภาชนะสำหรับตวงใส่ส่วนผสมในอัตราส่วนเหมือนเดิมทุกครั้งที่มักใช้บ่อยคือ
 1ถ้วยตวง มีปริมาณเท่ากับ 250 ลิตร
 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณเท่ากับ 15 ลิตร
 1ช้อนชา มีปริมาณเท่ากับ 5 ลิตร




รายการน้ำผักผลไม้





กระเจี๊ยบแดง








ส่วนผสม 
ดอกกระเจี๊ยบแห้ง 1 ถ้วย
น้ำสะอาด              4 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง   1 ถ้วย
วิธีทำ
1.             ล้างดอกกระเจี๊ยบแห้งด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดแล้วพักไว้
2.             ใส่น้ำลงในหม้อเคลือบ ตั้งไฟพอเดือด ใส่กระเจี๊ยบต้มจนออกสีแดงและเนื้อกระเจี๊ยบนุ่มสีจาง เติมน้ำให้มีระดับเม่าเดิม จากนั้นกรองเอาแต่น้ำเจี๊ยบสีแดงสดนำขึ้นตั้งไฟต่อ
3.             ใส่น้ำตาล เคี่ยวไฟอ่อนจนน้ำตาลละลายหมด แล้วยกหม้อเคลือบลงทิ้งให้เย็น จะได้น้ำกระเจี๊ยบสีม่วงแดงรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมนาดื่ม เทใส่ขวดสะอาดที่ต้มในน้ำร้อนแล้ว 20 นาที แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานหลายวัน เวลาดื่มให้เติมน้ำแข็งทุบเพิ่มความเย็นสดชื่นได้อีก




น้ำกระชาย













ส่วนผสม
เหง้ากระชาย    1 ถ้วย
น้ำสะอาด         2 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง  ½ ถ้วย
วิธีทำ
  1 ล้างเหง้ากระชายด้วยน้ำเปล่าหลายครั้งให้สะอาด บุบให้แหลกใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เอากระชายใส่ลงไปต้มจนเดือดมีกลิ่นหอมหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป 10 นาที ให้สารที่มีคุณค่าในกระชายออกมา เติมน้ำให้ได้ระดับเท่าเดิม
2 กรองด้วยผ้าขาวบางเอากากออกไป เติมน้ำตาลทรายแดงและต้มให้เดือดอีก 3 นาทีแล้วยกลง จะดื่มแบบร้อนคล่องคอ ได้น้ำกระชายสีเหลืองอ่อน รสเผ็ดปร่า มีกลิ่นของกระชายและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็นก็น้ำแข็งก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า


กระท้อน






ส่วนผสม
เนื้อกระท้อน 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
น้ำเชื่ออย่างใส 2/3 ถ้วย
วิธีทำ
1.             เลือกกระท้อนห่อสุก จะมีเนื้อมากและมีรสหวานอมเปรี้ยว ปอกเปลือกออกหนาพอสมควรด้วยมีดสเตนเลส ล้างในน้ำมะนาวให้สะอาดและป้องกันไม่ให้กระท้อนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วสับเป็นชิ้นเล็ก  นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นจนเป็นเนื้อละเอียด ตักเอาเมล็ดออกไป ได้น้ำกระท้อนสีเนื้อนวล รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ดื่มได้ทันที รสหอมหวานอมเปรี้ยว ชุ่มคอและสดชื่นดีมาก
2.             ถ้าต้องน้ำกระท้อนปั่น ให้ใช้น้ำแข็งทุบ 1 ถ้วยกับน้ำต้มสุก 1 ถ้วย กระท้อนกับน้ำเชื่อมในอัตราส่วนเดิม ได้รสชาติหอมอร่อยเย็นสดชื่น แต่ไม่ควรทิ้งไว้นานเพราะน้ำกระท้อนจะมีสีน้ำตาลขึ้นเรื่อยๆทำให้รสชาติไม่ดี


น้ำกะเพรา







ส่วนผสม
ใบกะเพราตากแห้ง  3-4 ใบ
น้ำต้มเดือด     1 แก้ว
วิธีทำ
1 เด็ดใบกระเพราแล้วล้างให้สะอาด นำไปตากแดดให้แห้งดี จะเก็บไว้ได้นาน
2 ต้มน้ำในกาให้เดือด แล้วรินน้ำเดือดใส่แก้วที่มีใบกะเพราแห้ง ทิ้งไว้จนอุ่น ได้น้ำกะเพราสีเขียวอ่อนใส ดื่มน้ำนั้นเหมือนดื่มน้ำชาโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลให้อ้วน
3 อีกวิธีหนึ่งคือต้มกะเพราแห้งกับน้ำเดือด หรี่ไฟลง เคี่ยว 15 นาที เติมน้ำตาลทรายแดงพอมีรสหวาน รักษาระดับน้ำให้เท่าเดิม จะดื่มร้อนหรือใส่น้ำแข็งก็แล้วแต่ใจชอบ จะได้กลิ่นหอมของกะเพราและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง มีรสเผ็ดเล็กน้อย


น้ำเก๊กฮวย
















ส่วนผสม
ดอกเก๊กอวยแห้ง 2/3 ถ้วย
น้ำ                         3 ถ้วย
น้ำตาลทราย         ½ ถ้วย

วิธีทำ
1.             เอาดอกเก๊กฮวยแห้งที่ขายอยู่ทั่วไปมาล้างน้ำให้สะอาด
2.             ต้มน้ำจนเดือดพล่านแล้วหรี่ไฟลง ใส่ดอกเก๊กฮวยลงไปน้ำที่ออกมามีสีเหลืองอ่อน คนทิ้งไว้จนเย็นแล้วบีบดอก กรองด้วยผ้าขาวบางบนกระชอน  เอากากทิ้งไป
3.             เอาน้ำที่กรอกได้ตั้งไฟอีกครั้ง เติมน้ำตาลทราย ดื่มแบบร้อน หรือแบบเย็นก็อร่อยและหอม ได้ประโยชน์เช่นกัน
4.             ทำเก๊กฮวยชงแบบชาดื่มต่างน้ำ และดื่มได้โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลเติมน้ำร้อนได้เรื่อยๆ จนกว่าสีเหลืองจะหมดไป ดื่มได้วันละหลายแก้วโดยไม่มีอันตราย


กล้วยหอม









ส่วนผสม
กล้วยหอม 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
นมสดรสจืด 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 ปอกเปลือกกล้วยหอมแล้วหั่นให้ได้ 1 ถ้วย ใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้
2 เติมน้ำต้มสุก นมสด ตามอัตราส่วน ไม่ต้องใส่น้ำตาลและเกลือเพราะกล้วยสุกงอมจะหวานจัดและไม่มีรสฝาด
  เปิดสวิตช์ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียว ปิดเครื่อง ใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ มีหลอดกาแฟพร้อมช้อนตัก มีรสชาติหอมหวานเย็นชื่นใจ และได้คุณค่ามหาศาล จะดัดแปลงเอากล้วยสุกพันธุ์อื่น เช่น กล้วยไข่ กล้วยน้ำหว้ามา ปั่นด้วยก็อร่อยได้เหมือนกัน


น้ำข้าวโพด


















ส่วนผสม
ข้าวโพดต้ม 1 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างไส 2/3 ถ้วย
น้ำนมสด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
1 . นำข้าวโพดไปต้มให้สุก แล้วนำมาฝานเอาแต่เมล็ดได้ 1 ถ้วยไปปั่นในเครื่องปั่นรวมกับนมสด เกลือ น้ำต้มสุก น้ำเชื่อม ปั่นให้เข้ากันจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกานแล้ว รินใส่แก้วดื่มให้ได้รสชาติหวานหอม เย็นสดชื่น และทำให้อิ่มได้ด้วย
2.ข้าวโพดปกติจะมีรสหวาน แต่ถ้าข้าวโพดหักจากต้นมานานหลายวันแล้วจะไม่ค่อยมีรสหวาน ถ้าดื่มไม่อร่อยอาจจะเติมน้ำเชื่อมลงไปอีกเล็กน้อย


น้ำแครอต








ส่วนผสม
แครอตหั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างใส 2/3 ถ้วย
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
เกลือเล็กน้อย
วิธีทำ
1 ล้างแครอตให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆไม่เอาแกรนที่แข็ง เติมน้ำต้มสุก 1 ถ้วยปั่นให้ละเอียดดีแล้วจึงเติมน้ำเชื่อม น้ำมะนาว เกลือ เติมน้ำที่เหลือตามส่วนผสมให้เข้ากัน รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ ได้รสหวานอมเปรี้ยวและรู้สึกอิ่มด้วย
2 ทำน้ำแครอตปั่นด้วยการเอาน้ำแข็งทุบเติมไป 1 ถ้วยแทนน้ำต้มสุกที่เติมครั้งหลัง
 

ตะไคร้





ส่วนผสม
ต้นตะไคร้ 7 ต้น
น้ำสะอาด  3 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง ½ ถ้วย
วิธีทำ
1 ตัดตะไคร้ต้นแก่ทั้งต้นและใบ มาล้างสะอาด บุบลำต้นพอแตกแล้วตัดทำเป็นท่อน นำไปต้มให้ในน้ำให้ของดีในตะไคร้ออกมา เมื่อน้ำเดือดแล้วให้หรี่ไฟลง รอจนกระทั่งน้ำที่ต้มมีสีเขียวจึงกรอกเอากากทิ้งออกไป
2 น้ำตะไคร้ที่กรอกแล้วเติมน้ำตาลทรายแดง เติมน้ำให้ได้ระดับเท่าเดิม ต้มให้เดือดอีกครั้ง ยกลงดื่มร้อนๆ คล่องคอ หอมหวาน ได้กลิ่นตะไคร้และกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็นกับน้ำแข็งก็อร่อยชื่นใจ
3 ถ้าจะดื่มแบบชงชา ให้ซอยตะไคร้เป็นแว่น แล้วนำไปคั่วไฟอ่อนพอเหลืองหอม ชงน้ำร้อนดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่างรสปร่า กลิ่นหอม เผ็ดเล็กน้อย แต่ถ้าเติมน้ำตาลแล้วความหวานจะกลบสิ่งเหล่านั้นไปจนไม่รู้สึก


น้ำเตยหอม





ส่วนผสม
ใบเตยหั่น 1.5 ถ้วย (ใช้ใบเตย 10-20 ใบ)
น้ำสะอาด 3 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1ถ้วย
น้ำแข็งทุบ 1 ถ้วย
วิธีทำ
1 ใบเตยสดที่ไม่แก่มากเก็บใหม่ๆ ล้างทีละใบให้สะอาด นำมาหั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่ง ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำกำลังต้มเดือด ต้ม 5-10 นาที ยกลงแล้วกรองด้วยกระชอนเอากากออก
2 ใบเตยที่หั่นแล้วอีกส่วนหนึ่งปั่นกับน้ำเล็กน้อยให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบางเอากากออก เอาน้ำใบเตยที่คั่นได้ซึ่งมีสีเขียวสดนี้ลงในน้ำต้มใบเตย เติมน้ำตาลทรายให้รสหวาน ต้มให้ละลาย คนให้เข้ากัน ชิมให้มีรสหวานพอดี มีกลิ่นหอมของทั้งใบเตยสดและใบเตยต้ม เมื่อจะดื่มใส่น้ำแข็งบดละเอียด หรือจะนำไปปั่นรวมกับน้ำแข็งทุบก็ได้




น้ำฟ้าทลายโจร










ส่วนผสม
ลำต้นฟ้าทลายโจรสดหั่น ½ ถ้วย
ใบเตยหั่น 1 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง  1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 3 ถ้วย
วิธีทำ
1 นำฟ้าทลายโจรที่ล้างสะอาดมาหั่นสั้น นำมาต้มในน้ำเดือดแล้วใส่ใบเตยหั่นต้มด้วยกัน เพื่อปรุงกลิ่นและรสให้หอมอร่อย พอเดือดหรี่ไฟลง เคี่ยวจนกระทั่งได้น้ำสีเขียว
2 กรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง แล้วเติมน้ำตาลทรายแดง เติมน้ำให้มีระดับเท่าเดิม ต้มให้เดือด 3 นาที แล้วยกลง ดื่มได้ทั้งที่ยังร้อนหรือเอาไว้ดื่มแบบเย็นๆกับน้ำแข็งก็ได้ เก็บในตู้เย็นได้นานหลายวัน



น้ำมะเขือเทศ






ส่วนผสม
มะเขือเทศ 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างใส ½ ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ

1 ใช้มะเขือเทศสุกล้างน้ำสะอาด ผ่า 2 ซีก แกะเมล็ดออกเอาแต่เนื้อปั่นกับน้ำสุก เติมน้ำเชื่อม เกลือป่น ชิมดูรสเติมตามใจชอบ จะได้น้ำมะเขือเทศเข้มข้น รสหวานหอม มีรสเปรี้ยวเค็มเล็กน้อย
2 รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ ใส่หลอดกาแฟขนาดใหญ่ หรือมีช้อนยาวไว้ตักเนื้อมะเขือเทศทานจะสะดวก ดื่มทันทีจะได้คุณค่ามากกว่า


น้ำมะละกอ





ส่วนผสม
มะละกอสุก 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 3 ถ้วย
น้ำเชื่อม 1/3 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
1 ล้างมะละกอสุก ปอกเปลือก ล้างให้หมดยาง เอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก
2 ใส่เนื้อมะละกอลงเครื่องปั่น ใส่น้ำต้มสุก น้ำเชื่อม เกลือ ปั่นให้ละเอียด ได้น้ำสีส้มแดงขุ่นข้น รสหวานและหอม
3 ตักน้ำแข็งใส่แก้ว เท่น้ำมะละกอใส่ หรือนำไปปั่นกับน้ำแข็งทุบสักเล็กน้อยก็ได้รสอร่อยเหมือนกัน

น้ำว่านหางจระเข้






ส่วนผสม
วุ่นใสจากว่านหางจระเข้ ½ ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างใส ½ ถ้วย
น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
1 เลือกใบว่านหางจระเข้ที่มีขนาดใหญ่โตเต็มที่ ปอกเปลือกสีเขียวเข้มทิ้งไป ล้างน้ำให้หมดยางสีเหลือง นำวุ่นใสใส่เครื่องปั่น เติมน้ำต้มสุก ปั่นให้ละเอียด
2 กรองด้วยผ้าขาวบางเอากากทิ้งไป เติมน้ำเชื่อม เกลือกเล็กน้อยแล้วคนให้เข้ากัน ดื่มทันทีกับน้ำแข็ง หรือใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น


น้ำเสาวรส



ส่วนผสม
ผลเสาวรสสุก 1 ถ้วย (4 ผล)
น้ำเชื่อมอย่างใส ½ ถ้วย
น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำ
1 เลือกผลเสาวรสสุกและสดจึงจะได้รสชาติที่ดี ผลดีมีผิวสีสวย ไม่เหี่ยว ไม่เน่า เมื่อล้างผลเสาวรสสะอาดดีแล้วให้ผ่าซีกแล้วเอาช้อนตักเนื้อข้างในผลลงไปในเครื่องปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันกรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือเล็กน้อย ผสมให้เข้ากัน รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ ได้น้ำเสาวรสเย็นฉ่ำชื่นใจ
2 นำน้ำเสาวรสมาผสมกับน้ำแครอท แอปเปิล น้ำสับปะรดก็จะได้คุณค่าสารอาหารมากขึ้น มีรสชาติอร่อยหลายแบบบออกไป และทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยไปทั้งวัน



          ข้อควรระวังในการใช้ผักผลไม้เป็นสมุนไพรรักษา
  ในการที่จะปลูกพืชผักสมุนไพรไว้ใกล้บ้าน เพื่อที่จะนำมาใช้เมื่อมีความจำเป็นนั้น ต้องมีความรู้ในตัวสมุนไพรนั้นเป็นอย่างดีว่าใช้อย่างไรจึงจะได้ผล และไม่มีพิษภัย นั่นคือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง การปลูกพืชในครั้งแรกควรมีป้ายปักบอกชื่อเอาไว้ ในกรณีที่ปลูกไว้หลายต้นยิ่งจำเป็น คนที่อยู่ใกล้เคียงจะได้รู้ด้วยว่าต้นไหนเป็นอะไร ต้องรู้สรรพคุณยาสมุนไพรในแต่ละส่วนของลำต้น นั้นคือต้องใช้ให้ถูกส่วนว่าส่วนใดใช้เป็นยาแก้โรคอะไร ต้นเดียวกันใบกับผลมีฤทธิ์ทางยาต่างกันก็พบได้บ่อย และนอกจากสรรพคุณยาต่างกันแล้ว จะเป็นราก ใบ ดอก เปลือก ผล เมล็ด มักจะมีฤทธิ์ไม่เท่ากันด้วยความสมบูรณ์ของพืชผักนั้นก็มีผลต่อคุณภาพยาด้วย จากนั้นก็ต้องรู้ว่า ใช้ให้ถูกขนาดที่เหมาะสม สมุนไพรถ้าใช้น้อยไปก็รักษาไม่ได้ผล แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจเกิดเป็นอันตรายหรือเกดพิษต่อร่างกายได้ และต้องใช้ให้ถูกวิธี เช่น การต้ม บดเป็นผง ดอง ฝน ทาน ท ถูนวด อบ รม หรือสูดดม จะต้องรู้วิธีใช้ให้ถูกต้อง โดยที่ขั้นตอนในการทำยาสมุนไพรต้องรักษาความสะอาดทั้งเครื่องมือ วิธีการทำ และวัสดุต่างๆที่ใช้ประกอบ

                   
 อาการแพ้ที่พบได้จากการใช้ยาสุมนไพร
  สมุนไพร แม้จะเป็นยาตามธรรมชาติ มีฤทธิ์ข้างเคียงน้อยกว่ายาสังเคราะห์แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยไปทุกตัว ในบางคนอาจจะมีความไวต่อสารบางอย่างเป็นพิเศษก็ทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน ลักษณะอาการที่จะบอกได้ว่ามีการแพ้ยาสมุนไพรมีดังต่อไปนี้
1 ผื่นขึ้นตามผิวหนังอาจเป็นตุ่มเล็ก หรือตุ่มโต หรือเป็นปื้น อาจจะมีหรือไม่มีอาการคัน บวมที่ตาหรือริมฝีปาก
2 เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรืออาเจียน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมีอาการรวมกัน
3 ประสาทสัมผัสไวเกินปกติ เช่น เพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ หื้อ ตาลาย
4 ใจสั่น หัวใจเต้าผิดปกติและเป็นอยู่บ่อยครั้ง
5 ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลืองและเป็นฟองสีเหลือง ซึ่งต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

อาการเจ็บป่วยและโรคที่ไม่ควรใช้ยาสมุนไพรรักษา
  ควรใช้ผักผลไม้สมุนไพรใกล้บ้านในกรณีที่มีอาการไม่สบายเล็กน้อย เพิ่งมีอาการ หรืออากรที่ทราบว่ามีสาเหตุจากอะไรและแน่ใจว่าใช้ยาสุมนไพรชนิดนั้นอย่างถูกวิธี ถูกขนาด แล้วจะรักษาหาย แต่ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการป่วยรุนแรงควรรีบส่งโรงพยาบาล ไม่ควรที่จะใช้ยาสมุนไพร หรือซื้อยามากินเอง เพราะนอกจากไม่หายแล้วอาจมียาที่ไปกระตุ้นให้มีอาการมากขึ้น และมัวแต่หายาสมุนไพรอาจจะสายเกินไป อาการป่วยรุนแรงดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
1 ไข้สูงมาก บางทีเพ้อ จับไข้วันเว้นวันหรือ 2 วัน
2 ตาเหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย อาจมีเจ็บหน้าอก
3 ปวดท้องมากแถวๆรอบสะดือ หรือต่ำจากสะดือลงมาทางขวา เอามือกดแล้วเจ็บ
4 เลือดออกทางช่องคลอด
5 อาเจียนหรือไอมีเลือดออกมาด้วย ควรนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
6 ท้องร่วงอย่างแรง ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้งติดกัน ถ้าเป็นเด็กไม่ควรให้ถ่ายเกิน 3 ครั้ง ถ้าผู้ใหญ่ไม่ควรให้เกิน 5   ครั้ง ต้องรีบส่งโรงพยาบาลและรีบหาน้ำเกลือแห้งมาละลายน้ำให้กิน ถ้าหากไม่ได้เอาเกลือที่ใช้ในครัวมาละลายน้ำถ้ามีน้ำเกลือผลสมลงไปนิดหน่อยให้ดื่มแทนไปก่อนในระหว่างพาไปโรงพยาบาล
7 โรคร้ายแรงอื่นๆ อุบัติเหตุร้ายแรง และโรคที่ดูอาการไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่





About

Popular Posts

ผู้ติดตาม